ส่วนใหญ่เราจะใช้งานเป็นประจำแทบทุกวัน ไม่ว่าจะอยู่บ้าน หรือคอนโดมิเนียม ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กันเป็นครอบครัว การเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด จะช่วยตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยประหยัดเวลา และประหยัดพลังงานอีกด้วย เรามาดูกันว่าควรเลือกจากคุณสมบัติอะไรกันบ้าง
1. ปริมาณความจุ
เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการเลือกซื้อเลยก็ว่าได้ เพราะหากเป็นครอบครัวที่อยู่กันหลายคน แล้วซื้อขนาดความจุที่เล็กเกินไป อาจจะต้องหุงถึง 2 ครั้ง ทำให้สิ้นเปลืองเวลา หรือหากครอบครัวเล็กอยู่กัน 1-2 คน ขนาดความจุที่ใหญ่เกินไป ก็จะทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย แถมยังเปลืองไฟโดยใช่เหตุ
2. ประเภทหม้อหุงข้าว
หากเราอยู่คนเดียว หรือทำงานอยู่บ้านไม่ได้เร่งรีบอะไร แบบดิจิตอลก็อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ อาจจะต้องดูว่าการหุงข้าวต่อครั้งนั้นเราหุงเผื่อสำหรับอาหารกี่มื้อ จำเป็นมากน้อยแค่ไหน ต้องอุ่นข้าวตลอดเวลาหรือเปล่า หรือหากต้องใช้งานหุงข้าวหลากหลายชนิด ทำข้าวต้ม หรือทำแกงจืดด้วย หม้อหุงข้าว ดิจิตอลก็จะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
3. วัสดุภายนอกและภายใน
หม้อหุงข้าวแยกออกได้เป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ หม้อชั้นนอกและหม้อชั้นใน สำหรับหม้อชั้นนอกนั้นควรเลือกดูยี่ห้อที่ใช้วัสดุประกอบที่มีคุณภาพ มีความแข็งแรง และทนความร้อนได้ดี หม้อชั้นในจะมีแบบเคลือบเทฟลอนให้เลือกใช้ จะช่วยในการป้องกันข้าวติดก้นหม้อได้ดีกว่า และหม้อไม่มีการบุบยุบ หรือมีรอยขีดข่วน จะช่วยให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่า
4. ขนาดกำลังไฟ
หม้อหุงข้าวเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานความร้อน มีอัตราการกินไฟที่ค่อนข้างสูง และหากต้องใช้งานเป็นประจำ นอกจากเราจะดูที่ปริมาณความจุและประเภทแล้ว เราควรดูที่กำลังไฟของแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อด้วย ควรเลือกแบบที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 หรือมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เราได้ใช้งานจริง ๆ อย่างน้อย ในปีหนึ่ง ๆ ก็ช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
5. ขีดบอกระดับน้ำ
เป็นอีกหนึ่งเรื่องจำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ จะมีขีดบอกปริมาณน้ำและปริมาณข้าวอยู่ภายในหม้อด้านใน การกะระดับน้ำเอาเองอาจจะทำให้เกิดการผิดพลาดได้ง่าย จะเกิดข้าวดิบ ข้าวแฉะ ทำให้เสียเวลา สำหรับบางรุ่นจะมีแยกระดับน้ำแบบละเอียดตามชนิดของข้าวมาให้ด้วย เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ข้าวเหนียว ฯลฯ
6. ฟังก์ชั่นพิเศษ
โปรแกรมพิเศษต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหม้อหุงข้าว ดิจิตอลเราก็ควรต้องพิจารณาดูว่า ซื้อมาแล้วเราได้ใช้งานจริง ๆ หรือเปล่า เช่น ต้องตั้งเวลาหุงล่วงหน้าไหม หุงข้าวกล้องข้าวเหนียวด้วยไหม ทำอาหารประเภทตุ๋นด้วยมั้ย เพราะยิ่งเพิ่มฟังก์ชั่นที่หลากหลาย ก็แน่นอนว่าราคาจะต้องเพิ่มตามไปด้วยนั่นเอง
7. คุณภาพ มาตรฐาน และการรับประกัน
หากการใช้งานที่ดีเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นบริการหลังการขายก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน รวมไปถึงการมีใบรับประกันสินค้า เพราะปัจจุบันมีรุ่นใหม่ ๆ ผลิตออกมามากมาย การเลือกซื้อจากยี่ห้อที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักก็จะช่วยให้เราสบายใจได้มากกว่ายี่ห้อใหม่ ๆ เพราะหากเกิดปัญหาในการใช้งานขึ้นมาจริง ๆ ต้องมีศูนย์ที่มีอะไหล่พร้อมซ่อมแซม
ⒸThaweeyont Online / ทวียนต์ เชียงราย และสาขาใกล้บ้าน Shoppingonline ได้แล้ว !! 2024
ส่วนใหญ่เราจะใช้งานเป็นประจำแทบทุกวัน ไม่ว่าจะอยู่บ้าน หรือคอนโดมิเนียม ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กันเป็นครอบครัว การเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด จะช่วยตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี ทั้งยังช่วยประหยัดเวลา และประหยัดพลังงานอีกด้วย เรามาดูกันว่าควรเลือกจากคุณสมบัติอะไรกันบ้าง
1. ปริมาณความจุ
เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการเลือกซื้อเลยก็ว่าได้ เพราะหากเป็นครอบครัวที่อยู่กันหลายคน แล้วซื้อขนาดความจุที่เล็กเกินไป อาจจะต้องหุงถึง 2 ครั้ง ทำให้สิ้นเปลืองเวลา หรือหากครอบครัวเล็กอยู่กัน 1-2 คน ขนาดความจุที่ใหญ่เกินไป ก็จะทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย แถมยังเปลืองไฟโดยใช่เหตุ
2. ประเภทหม้อหุงข้าว
หากเราอยู่คนเดียว หรือทำงานอยู่บ้านไม่ได้เร่งรีบอะไร แบบดิจิตอลก็อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ อาจจะต้องดูว่าการหุงข้าวต่อครั้งนั้นเราหุงเผื่อสำหรับอาหารกี่มื้อ จำเป็นมากน้อยแค่ไหน ต้องอุ่นข้าวตลอดเวลาหรือเปล่า หรือหากต้องใช้งานหุงข้าวหลากหลายชนิด ทำข้าวต้ม หรือทำแกงจืดด้วย หม้อหุงข้าว ดิจิตอลก็จะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
3. วัสดุภายนอกและภายใน
หม้อหุงข้าวแยกออกได้เป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ หม้อชั้นนอกและหม้อชั้นใน สำหรับหม้อชั้นนอกนั้นควรเลือกดูยี่ห้อที่ใช้วัสดุประกอบที่มีคุณภาพ มีความแข็งแรง และทนความร้อนได้ดี หม้อชั้นในจะมีแบบเคลือบเทฟลอนให้เลือกใช้ จะช่วยในการป้องกันข้าวติดก้นหม้อได้ดีกว่า และหม้อไม่มีการบุบยุบ หรือมีรอยขีดข่วน จะช่วยให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่า
4. ขนาดกำลังไฟ
หม้อหุงข้าวเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานความร้อน มีอัตราการกินไฟที่ค่อนข้างสูง และหากต้องใช้งานเป็นประจำ นอกจากเราจะดูที่ปริมาณความจุและประเภทแล้ว เราควรดูที่กำลังไฟของแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อด้วย ควรเลือกแบบที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 หรือมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เราได้ใช้งานจริง ๆ อย่างน้อย ในปีหนึ่ง ๆ ก็ช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
5. ขีดบอกระดับน้ำ
เป็นอีกหนึ่งเรื่องจำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ จะมีขีดบอกปริมาณน้ำและปริมาณข้าวอยู่ภายในหม้อด้านใน การกะระดับน้ำเอาเองอาจจะทำให้เกิดการผิดพลาดได้ง่าย จะเกิดข้าวดิบ ข้าวแฉะ ทำให้เสียเวลา สำหรับบางรุ่นจะมีแยกระดับน้ำแบบละเอียดตามชนิดของข้าวมาให้ด้วย เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว ข้าวเหนียว ฯลฯ
6. ฟังก์ชั่นพิเศษ
โปรแกรมพิเศษต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหม้อหุงข้าว ดิจิตอลเราก็ควรต้องพิจารณาดูว่า ซื้อมาแล้วเราได้ใช้งานจริง ๆ หรือเปล่า เช่น ต้องตั้งเวลาหุงล่วงหน้าไหม หุงข้าวกล้องข้าวเหนียวด้วยไหม ทำอาหารประเภทตุ๋นด้วยมั้ย เพราะยิ่งเพิ่มฟังก์ชั่นที่หลากหลาย ก็แน่นอนว่าราคาจะต้องเพิ่มตามไปด้วยนั่นเอง
7. คุณภาพ มาตรฐาน และการรับประกัน
หากการใช้งานที่ดีเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นบริการหลังการขายก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน รวมไปถึงการมีใบรับประกันสินค้า เพราะปัจจุบันมีรุ่นใหม่ ๆ ผลิตออกมามากมาย การเลือกซื้อจากยี่ห้อที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักก็จะช่วยให้เราสบายใจได้มากกว่ายี่ห้อใหม่ ๆ เพราะหากเกิดปัญหาในการใช้งานขึ้นมาจริง ๆ ต้องมีศูนย์ที่มีอะไหล่พร้อมซ่อมแซม